คําว่า “ภาษา” หมายถึง ถ้อยคําที่ใช้พูดหรือเขียน เพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๘๒๒) เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน เป็นต้น
ประเภทของภาษา ภาษาแบ่งตามลักษณะการสื่อสารได้ ๒ ประเภท ได้แก่
๑. วัจนภาษา คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคําในการสื่อสาร ได้แก่ ภาษาพูด และภาษาเขียน
๒. อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคําในการสื่อสาร ได้แก่ ภาษาท่าทาง ภาษาหนาต้า
ภาษามือ และภาษาสัญลักษณะ องค์ประกอบของภาษา
ภาษามีองค์ประกอบ ๔ เรื่อง คือ
๑. เสียง เกิดจากการเปล่งเสียงแทนพยางค์ และคํา
๒. พยางค์และคํา เกิดจากการประสมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
๓. ประโยค เกิดจากการนําคํามาเรียงกันตามลักษณะ โครงสร้างของภาษาที่กําหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นระบบไวยากรณ์ของแต่ละภาษา
๔. ความหมาย คือ ความหมายที่เกิดจากคําหรือประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารทําความเข้าใจกัน
ความสำคัญของภาษา
ภาษาเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีการถ่ายทอด การเรียนรู้จึงจะสามารถใช้ และ สื่อความหมายกันได้
ดังนั้นภาษาจึงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของภาษาไว้ดังนี้
๑.มนุษย์สามารถใช้ภาษาในการติดต่อทำความเข้าใจกันได้ กล่าวคือ สามารถใช้ภาษาแสดงความต้องการทางร่างกายและจิตใจด้วย
๒.มนุษย์ใช้ภาษาเป็นกิจกรรมสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิต
๓.ภาษาเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน โดยเน้นการฝึกฝนที่ถูกวิธีเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตในประจำวัน
๔.ภาษาเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในสังคม เพราะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารและมีการแลก
เปลี่ยนวัฒนธรรม
๕.ภาษามีความสำคัญต่อบุคคลเพราะการที่บุคคลรู้จักใช้ภาษาได้ดีขึ้นย่อมได้รับการยกย่อง
จากสังคม
จะเห็นได้ว่า ภาษามีความสำคัญกับชีวิตคนเรามาก เพราะฉะนั้นในการจัดการเรียนการสอน
เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้การใช้ภาษาได้ดีขึ้นครูต้องรู้จักหลักในการจัดประสบการณ์ทางภาษาทั้งนี้เพื่อเด็กจะได้เกิดทักษะในการใช้ภาษาที่ดีต่อไป
วิวัฒนาการของภาษา
ราว พ.ศ. ๔๐๐ ไทยได้อพยพจากถิ่นเดิมมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ใกล้อาณาเขตมอญซึ่งกำลัง
เป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น เริ่มแรกคงเริ่มเลียนแบบตัวอักษรมาจากมอญ ต่อมาราว
พ.ศ. ๑๕๐๐ เมื่อขอม ขยายอำนาจเข้ามาในดินแดนของคนไทยซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำยม
และได้ปกครองเมืองเชรียงและเมืองสุโขทัย ไทยก็เริ่มดัดแปลงอักษรที่มีอยู่เดิมให้คล้ายกับอักษรขอมหวัดอักษรมอญและอักษรขอมที่เรานำมาดัดแปลงใช้นั้นล้วนแปลงรูปมาจากอักษรพราหม์ของพวกพราหมณ์ซึ่งแพร่หลายใน อินเดียตอนเหนือ และอักษรสันสกฤตในสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ซึ่งแพร่หลายบริเวณอินเดียตอนใต้อักษรอินเดียทั้งคู่นี้ต่างก็รับแบบมาจากอักษรฟินิเชียนอีกชั้นหนึ่งอักษรเฟนีเซียนับได้ว่าเป็นอักษรที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นแม่แบบตัวอักษรของชาติต่างๆทั้งในเอเชียและยุโรป
ราว พ.ศ. ๑๘๒๖ พ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยที่เรียกกันว่า"ลายสือไทย" ขึ้น ซึ่งได้เค้ารูปจากอักษรอินเดียฝ่ายใต้ รวมทั้งอักษรมอญและเขมรที่มีอยู่เดิม (ซึ่งต่างก็ถ่ายแบบมาจากอักษรอินเดียฝ่ายใต้ทั้งสิ้น) ทำให้อักษรไทยมีลักษณะคล้ายคลึงกับอักษรทั้งสาม แม้บางตัวจะไม่คล้ายกัน แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าดัดแปลงมาจากอักษรตัวไหน อักษรไทยมีการปรับปรุงอยู่เรื่อยๆ ในสมัยพญาฦๅไทราว พ.ศ. ๑๙๐๐ มีการแก้ไขตัวอักษรให้ผิดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะการเพิ่มเชิงที่ตัว ญ ซึ่งใช้ติดต่อเรื่อยมาจนทุกวันนี้ คาดว่าน่าจะเอาอย่างมาจากเขมร ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ราว พ.ศ. ๒๒๒๓ ตัวอักษรเริ่มมีทรวดทรงดีขึ้นแต่ก็ไม่ทิ้งเค้าเดิม มีบางตัวเท่านั้นที่แก้ไขผิดไปจากเดิม คือตัว ฎ และ ธ ซึ่งเหมือนกับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน นักวิชาการจำนวนหนึ่งเชื่อว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตัวอักษรและการใช้งานมีความคล้ายคลึงกับในปัจจุบันมากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น